ประมวลกฎหมายอาญา

               มาตรา 36 ในกรณีที่ศาลสั่งให้รับทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 34 ไปแล้ว หากปรากฏในภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของแท้จริงว่า ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่คำเสนอของเจ้าของแท้จริงนั้นจะต้องกระทำต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด

 

หมายเหตุ

               1.คดีร้องขอคืนของกลางมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามคำร้องของ ผู้ร้องเพียงว่า ศาลจะสั่งคืนของกลางให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของแท้จริง และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่(ฎีกาที่ 328/2563)ส่วนประเด็นที่ว่าสมควรริบรถของกลางหรือไม่ ยุติไปตามคำ พิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหลักซึ่งถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในคำ ร้องขอคืนรถของกลางต่อไปอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย(ฎีกาที่ 3069/2559)

                    2.เจ้าของแท้จริง คือ ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงต้องเป็นเจ้าของแท้จริงในขณะที่มีการกระทำ ความผิด(ฎีกาที่ 44/2562)

               3.มิได้รู้เห็นเป็นใจ คือไม่ได้ยินยอมหรือละเว้นไม่ขัดขวางโดยสมัครใจปล่อยให้ผู้อื่นใช้ทรัพย์สินของตนกระทำ ความผิด การรู้เห็นเป็นใจด้วยนี้จึงมีอยู่ในขณะมีการกระทำ ความผิดและเกี่ยวพันกับการกระทำ ความผิดของผู้ใช้ทรัพย์สินนั้น(ฎีกาที่ 44/2562)

               4.การรู้เห็นเป็นใจ คือรู้หรือคาดหมายล่วงหน้าได้ว่าจะมีการนำทรัพย์ของกลางไปใช้กระทำความผิด(วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์.  อาญาพิสดาร เล่ม 1, 2564.)

               5.คู่ความในคดี คือ ผู้ร้อง กับ พนักงานอัยการ (ฎีกาที่ 1291/2562)

               6.ต้องวางเงินค่าใช้จ่าย/ค่าเดินหมาย

               ค่าใช้จ่ายที่ผู้ร้องวางเพื่อใช้ในการส่งสำเนาคำร้องและหมายนัดให้แก่คู่ความในคดีร้องขอคืนของกลางซึ่งแม้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญาแต่ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 บัญญัติไว้มิให้เรียก ผู้ร้องจะต้องนำมาวางตามคำสั่งศาล(ฎีกาที่ 328/2563)

               7.ต้องยื่นคำร้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด

                    คำว่า “หนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด” หมายถึงกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่คดีเรื่องนั้นถึงที่สุด โดยเริ่มนับเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 มิใช่นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งริบของกลางแล้วไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์(ฎีกาที่ 4702/2543)

               ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกา(คำสั่งไม่รับฎีกา)ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2509 การนับระยะเวลา 1 ปี เพื่อยื่นคำร้องขอคืนของกลาง นับต่อจากวันนั้นเป็นต้นไป การที่ผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2510 จึงเป็นการร้องต่อศาลภายใน 1 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36(ฎีกาที่ 898/2512(ประชุมใหญ่))

               คำพิพากษา ซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกาได้ ถ้ามิได้อุทธรณ์ฎีกา..ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลานั้นได้สิ้นสุดลง(ป.วิ.พ.มาตรา 147 วรรคสอง)