ประมวลกฎหมายอาญา

               มาตรา 22 โทษจำคุก ให้เริ่มแต่วันมีคำพิพากษา แต่ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา เว้นแต่คำพิพากษานั้นจะกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น

               ในกรณีที่คำพิพากษากล่าวไว้เป็นอย่างอื่น โทษจำคุกตามคำพิพากษาเมื่อรวมจำนวนวันที่ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาในคดีเรื่องนั้นเข้าด้วยแล้ว ต้องไม่เกินอัตราโทษขั้นสูงของกฎหมายที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่ได้กระทำลงนั้น  ทั้งนี้ ไม่เป็นการกระทบกระเทือนบทบัญญัติในมาตรา 91

 

หมายเหตุ

               ฎีกาที่ 2469/2560 ป.อ. มาตรา 22 วรรคหนึ่ง เป็นบทกำหนดหลักเกณฑ์ในการบังคับโทษจำคุกว่าให้เริ่มนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โดยมีข้อยกเว้นในกรณีที่ศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น การใช้ดุลพินิจให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่น จึงเป็นข้อยกเว้นไม่ให้เริ่มนับแต่วันมีคำพิพากษา

               ฎีกาที่ 7005/2559  การที่จำเลยขอให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ในคดีที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงของศาลชั้นต้นอีกคดีหนึ่ง และโจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอให้นับโทษคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าว ทั้งความก็ปรากฏต่อศาลชั้นต้นว่า คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ได้มีคำพิพากษาตัดสินคดีแล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจในการใช้ดุลพินิจนับโทษต่อได้ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏต่อศาลเอง โดยจำเลยไม่ได้แถลงหรืออุทธรณ์คัดค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีดังกล่าว จึงชอบแล้ว

               ฎีกาที่ 1831/2557 ป.อ. มาตรา 22 วรรคแรก เป็นบทบัญญัติที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการบังคับโทษจำคุกจำเลยว่าให้เริ่มนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โดยมีข้อยกเว้นในกรณีที่ศาลจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น ซึ่งวันมีคำพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึงวันที่ศาลอ่านคำพิพากษาโดยเปิดเผยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 182 และ 188 โดยคำพิพากษาไม่จำเป็นต้องถึงที่สุด เพราะเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยย่อมต้องถูกบังคับโทษตามคำพิพากษานั้น แม้ต่อมาภายหลังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะแก้โทษจำคุกก็ไม่มีผลต่อวันเริ่มโทษจำคุกแต่อย่างใด