ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 877 ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง
(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย
(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ
อันจำนวนวินาศจริงนั้น
ท่านให้ตีราคา ณ สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น อนึ่ง
จำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น
ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้
หมายเหตุ
ฎีกาที่ 4888/2558
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์และเป็นผู้เอาประกันภัยโดยทำสัญญาประกันภัยค้ำจุนกับจำเลยที่
2 เพื่อคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกรวมถึงความเสียหายต่อชีวิต
ร่างกาย หรืออนามัยและทรัพย์สิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคหนึ่ง
บัญญัติว่า “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้นคือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่งและซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”
และวรรคสอง บัญญัติว่า “บุคคลผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากผู้รับประกันภัยโดยตรง
แต่ค่าสินไหมทดแทนเช่นว่านี้หาอาจจะคิดเกินไปกว่าจำนวนอันผู้รับประกันภัยจะพึงต้องใช้ตามสัญญานั้นได้ไม่...”
มีความหมายว่าบุคคลผู้ต้องเสียหายมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่ตนจากผู้รับประกันภัยโดยตรงและเป็นค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบฐานละเมิด
คือจำนวนค่าเสียหายทั้งหมดที่โจทก์ได้รับ และมาตรา 877 บัญญัติว่า
“ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ (1)
เพื่อจำนวนวินาศภัยแท้จริง...” คำว่า “วินาศภัยอันเกิดขึ้นและซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ” จึงหมายความว่า เมื่อเกิดวินาศภัยขึ้น
ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินที่ระบุในกรมธรรม์
ส่วนผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนในหนี้ละเมิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับโจทก์ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 420 ประกอบมาตรา 438 กรณีที่โจทก์และจำเลยที่
1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้ละเมิดระหว่างโจทก์และจำเลยที่
1 ระงับเกิดเป็นหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตาม
ป.พ.พ. มาตรา 850 และ 852 เป็นเรื่องระหว่างโจทก์และจำเลยที่
1 ซึ่งเป็นคู่สัญญา เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์
จำเลยที่ 2 จึงยังต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่มีอยู่ก่อนแล้ว
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 รับผิดค่าเสียหายที่โจทก์ควรได้รับในส่วนที่เหลือ
ฎีกาที่ 4256/2548
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2
ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเลินเล่อ
เป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์บรรทุกสิบล้อของโจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็น 561,070
บาท อีกทั้งทรัพย์สินของบริษัท ฟ.
ที่บรรทุกมากับรถยนต์บรรทุกของโจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 350,000 บาท จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่
2 ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท
ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท ฟ. ไปแล้ว 350,000 บาท
และบริษัท น.
ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ได้ชำระค่าซ่อมให้โจทก์เป็นเงิน 200,000
บาทแล้ว และถึงแม้ว่าจำเลยที่ 3 กับบริษัท น.
จะมีข้อตกลงร่วมกันว่าหากมีเหตุเกิดขึ้นระหว่างรถยนต์ที่จำเลยที่ 3 กับบริษัท น. เป็นผู้รับประกันภัย
ต่างฝ่ายต่างจะรับผิดชอบซ่อมแซมและชดให้ค่าเสียหายแก่รถยนต์ที่ฝ่ายตนรับประกันภัยโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม
แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้นไม่มีผลกระทบถึงสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากมูลละเมิดในส่วนของผู้เอาประกันภัย
ดังนั้น การที่บริษัท น. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ยังไม่ครบถ้วน แม้จำเลยที่
3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้บริษัท ฟ. ไปแล้ว
แต่ในเมื่อยังไม่เต็มวงเงินยังเหลือวงเงินอีก 150,000 บาท
ตามที่รับประกันภัยโจทก์ไว้ จำเลยที่ 3 ก็ต้องร่วมผิดกับจำเลยที่
1 และที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์อีก
150,000 บาท ตามวงเงินที่เหลือด้วย
0 ความคิดเห็น