ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 69 ในกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 67 และมาตรา 68 นั้น ถ้าผู้กระทำได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ
หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น หรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
แต่ถ้าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากความตื่นเต้น ความตกใจ หรือความกลัว
ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้
หมายเหตุ
หมายเหตุท้ายฎีกาที่
620/2532 การป้องกันเกินขอบเขตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
มี 2 กรณีคือ "เกินสมควรแก่เหตุ"
กรณีหนึ่งและ "เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน"
อีกกรณีหนึ่ง ซึ่งมีความหมายไม่เหมือนกัน "เกินสมควรแก่เหตุ" หมายถึงกรณีที่มีกฎหมายให้อำนาจผู้กระทำไว้
แต่ผู้กระทำได้กระทำเกินอำนาจนั้น คือ เกินสัดส่วน เช่นฎีกาที่ 659/2496 ผู้ตายตีจำเลยด้วยไม้คันฉาย จำเลยยิงผู้ตาย 2 นัด
ขาดใจตายทันที เป็นป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ และฎีกาที่ 873/2521 ส.ใช้ไม้เหลี่ยมยาว 1 ศอกตีจำเลย จำเลยใช้ปืนยิง 2
นัด ส. ตาย เป็นป้องกันเกินกว่าเหตุ ที่ว่า "เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน" น่าจะมีความหมายว่า ถ้าได้กระทำโดยเจตนาพิเศษ เพื่อป้องกันสิทธิแล้ว
แม้กระทำต่อภัยที่ยังไม่ใกล้จะถึง หรือกระทำต่อภัยที่ผ่านพ้นไปแล้ว
ก็ยังเป็นการกระทำเพื่อป้องกันได้ แต่ถือว่าเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
(จิตติ ติงศภัทิย์)
ฎีกาที่ 10879/2556
แม้ผู้เสียหายเข้าไปภายในบริเวณบ้านจำเลย และ ส.
เพื่อปรับความเข้าใจเรื่องที่ผู้เสียหายมีปากเสียงกับจำเลย แต่เมื่อ ส.
ไล่ให้ผู้เสียหายกลับไป และจำเลยปิดประตูบ้าน
จึงเป็นการใช้สิทธิอันชอบธรรมของจำเลย และ ส.
ในฐานะเจ้าของบ้านที่จะไล่ให้ผู้เสียหายออกไปจากบริเวณบ้านของตนได้
เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมออกไปจากบริเวณบ้าน ถือเป็นการบุกรุกบ้านของจำเลย
การที่จำเลยใช้อาวุธมีดโต้ฟันผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย
ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
แต่ผู้เสียหายไม่ได้ใช้อาวุธใดจะทำร้ายจำเลย
การที่จำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหายหลายครั้ง
จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตาม
ป.อ. มาตรา 69
ฎีกาที่ 7650/2553
จำเลยขึงเส้นลวดและปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้บริเวณหน้าต่างห้องพักของจำเลยเพื่อป้องกันขโมยเข้ามาลักทรัพย์ในห้องพักของจำเลย
จึงเป็นเหตุให้เด็กชาย ก.
บุตรเลี้ยงของจำเลยซึ่งลักลอบปีนหน้าต่างเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ในห้องพักของจำเลยถูกกระแสไฟฟ้าช็อตถึงแก่ความตาย
แม้การกระทำของผู้ตายจะถือเป็นการประทุษร้ายอันเป็นละเมิดต่อกฎหมายและต่อทรัพย์สินของจำเลยที่จำเลยมีสิทธิที่จะป้องกันทรัพย์สินของตนได้
แต่พฤติการณ์ที่จำเลยต่อและปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงถึง 220 โวลต์
ไปตามเส้นลวดที่ไม่มีฉนวนหุ้มนั้นย่อมเป็นอันตรายร้ายแรงโดยสภาพที่สามารถทำให้ผู้อื่นที่ไปสัมผัสถูกถึงแก่ความตายได้
ดังนั้น
แม้จะเป็นการป้องกันคนร้ายที่จะเข้ามาลักทรัพย์สินในห้องพักของจำเลยและทำร้ายจำเลยกับภรรยาได้
แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นการเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
ตาม ป.อ. มาตรา 69
ฎีกาที่ 5544/2553
ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน
ถือได้ว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลยซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแล้ว
เมื่อจำเลยพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยวิ่งหลบหนี
แต่ผู้ตายซึ่งถือขวดกับพวกยังคงวิ่งไล่ตามจำเลยและผู้ตายจะขว้างขวดใส่จำเลย
อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน
หากผู้ตายขว้างขวดใส่จำเลยอาจทำให้จำเลยได้รับอันตรายได้
หรือหากวิ่งทันจำเลยก็อาจทำร้ายจำเลยได้ ภยันตรายที่เกิดจากผู้ตายจึงยังไม่หมดไป
จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวได้แต่จำเลยมีอาวุธปืนที่ร้ายแรงกว่า จำเลยจึงอาจยิงขู่หรือเลือกยิงร่างกายส่วนที่สำคัญน้อยหรือเป็นอันตรายน้อยเพื่อยังยั้งผู้ตายกับพวกมิให้เข้าทำร้ายจำเลย
แต่จำเลยกลับยิงผู้ตายบริเวณหน้าอกอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา
69
ฎีกาที่ 8046/2542
จำเลยกับผู้ตายลักลอบได้เสียกัน ต่อมา บ.
สามีจำเลยทราบเรื่องและจะให้โอกาสจำเลยกลับตัว แต่ต้องทำตามที่สั่ง
ถ้าไม่เช่นนั้นจะฆ่าเสียทั้งสองคน จำเลยและ บ. อยู่ด้วยกันเพียงสองคนในบ้านพัก
จำเลยเป็นหญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าจึงอาจถูก บ. ข่มเหงเอาได้ตลอดเวลา
จำเลยเป็นชู้กับผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่ บ.
สามีอาจฆ่าจำเลยเสียได้จริง ด้วยความกลัวจำเลยจึงยอมทำตาม บ.
บอกแผนให้จำเลยนัดผู้ตายไปยังที่เกิดเหตุและกำชับว่าให้พาผู้ตายไปยังที่เกิดเหตุให้ได้
ไม่งั้นเตรียมตัวตาย จำเลยจึงไปหลอกชวนผู้ตายให้ไปร่วมหลับนอนกันอีกในวันรุ่งขึ้น
วันเกิดเหตุเมื่อจำเลยพาผู้ตายมาถึงที่เกิดเหตุ ผู้ตายถูก บ. ฆ่าตาย
จำเลยร่วมฆ่าผู้ตายเพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจของ บ.
ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ แต่การที่จำเลยยอมร่วมมือกับ บ. ฆ่าผู้ตาย
ถือได้ว่าได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นตาม ป.อ. มาตรา
67 (1), 69
0 ความคิดเห็น