ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

                    มาตรา ๑๓๖๗  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

 

หมายเหตุ

                    ฎีกาที่ ๔๙๙๓/๒๕๕๔ ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของรัฐนั้น  ราษฎรไม่อาจยกสิทธิใดๆ ขึ้นยันรัฐได้ แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันเอง  แต่ละฝ่ายอาจยกสิทธิครอบครองขึ้นยันกันได้ หากฝ่ายใดยึดถือที่ดินพิพาทไว้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ ฝ่ายนั้นย่อมมีสิทธิที่จะขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกเข้ามารบกวนการครอบครองของตนตามมาตรา ๑๓๗๔ ได้ ซึ่งการยึดถือที่จะได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ นั้น จะต้องเป็นการเข้าไปยึดถือครอบครองตามความเป็นจริง  คือมีการอยู่อาศัยทำประโยชน์บนที่ดินที่ครอบครองพร้อมแสดงอาณาเขตแห่งการยึดถือครอบครองต่อบุคคลภายนอกอย่างชัดเจน หากจะให้ผู้อื่นยึดถือแทน ผู้ยึดถือแทนก็ต้องยึดถือครอบครองทรัพย์สินนั้นตามความเป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน

                    ฎีกาที่ ๖๐๗/๒๕๐๖ (ประชุมใหญ่) ที่พิพาทเนื้อที่ ๑๒ ไร่เศษ ไม่มีโฉนด เดิมเป็นของมารดาจำเลย มารดาจำเลยได้ยกที่พิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ให้โจทก์ใน พ.ศ. ๒๔๙๔ โจทก์จึงจ้างคนถางที่พิพาทจนเตียนหมด แล้วใน พ.ศ. ๒๔๙๕ และ ๒๔๙๖ โจทก์ก็ทำนาและปลูกถั่วในที่พิพาท โดยทำนา ๒ ไร่ ปลูกถั่ว ๒ ไร่นอกนั้นเป็นที่ดอนน้ำไม่ถึง ปลูกอะไรไม่ได้ ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการยึดถือโดยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาทหมดทั้งแปลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗